วันอังคารที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2553

แอนดรอยด์โฟน

Dell Mini 3i แอนดรอยด์โฟนโผล่ในจีน





หลังจากที่เป็นข่าวลือมานานสำหรับสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ของเดลล์ที่มีชื่อว่า Dell Mini 3i ล่าสุดมันได้เผยโฉมออกมาแล้ว โดยคุณสมบัติของมือถือรุ่นนี้จะมาพร้อมกับหน้าจอสัมผัสขนาด 3.5 นิ้วที่ความละเอียด 360 x 640 พิกเซล กล้องดิจิตอล 3 ล้านพิกเซล ช่องใส่การ์ดหน่วยความจำ microSD สนับสนุนการเชื่อมต่อไร้สายบลูทูธ แต่ไม่มี WiFi และ 3G คงทำงานด้วย 2G GSM แบตเตอรี่ 950mAh ซึ่งดูจากสเป็กแล้วนอกจากระบบปฏิบัติการ Android และจอสัมผัสแล้ว มือถือรุ่นนี้ดูไม่ค่อยน่าประทับใจสักเท่าไร





เพื่อทำให้มือถือมีขนาดเล็กและบาง ขนาดของแบตเตอรี่ที่ใช้จึงมีขนาดเล็กและมีกำลังไฟไม่สูงมากนัก ซึ่งอาจจะเพียงพอสำหรับหน้าจอสัมผัส 3.5 นิ้ว แต่ไม่น่าจะพอสำหรับรัน 3G และ WiFi ที่ต้องการแบตเตอรี่ที่ให้พลังงานไฟฟ้าได้มากกว่านี้ ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่สเป็กเครื่องออกมาอย่างนี้ อย่างไรก็ดี ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับราคาออกมา

มือถือ แอนดรอยด์ เดลล์ dell android cell phone



Huawei U8230

แอนดรอยด์โฟนหน้าจอสัมผัส จากค่าย Huawei ตัวเครื่องใช้หน่วยประมวลผล 528 MHz ทำงานบนระบบปฏิบัตการแอนดรอยด์ 1.5 มาพร้อมหน่วยความจำภายใน ขนาด 128MB รองรับการใช้งาน MicroSD และช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร


โซนี่เปิดตัว"แอนดรอยด์โฟน"รุ่นแรก

Xperia X10 แอนดรอยด์โฟนที่มาพร้อมกับกล้องดิจิตอล 8 ล้านพิกเซล หน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ถึง 4 นิ้ว พร้อมด้วยระบบแผนที่ดาวเทียม GPS สามารถดาวน์โหลดแอ็พฯต่างๆ จาก Android Market และ Play Now Arena ของ Sony Ericsson สำหรับ X10 ที่เดิมใช้โค้ดเนมว่า Rachel ขณะที่ยังคงอยู่ในระหว่างการพัฒนา จะเริ่มวางตลาดในไตรมาสแรกของปี 2010 โดยทางบริษัทกล่าวว่า X10 เป็นแอนดรอยด์โฟนตัวแรกจากอีกหลายรุ่นที่จะวางตลาดในปีหน้า


การตัดสินใจผลิตแอนดรอยด์โฟนของโซนี่อีริคสัน แสดงให้เห็นถึงความพยายามที่จะช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดคืนกลับมาบางส่วน เนื่องจากในช่วงสามไตรมาสที่ผ่านมา ทางโซนี่ต้องประสบกับภาวะขาดทุนเนื่องจากต้องปะทะกับคู่แข่งอย่าง iPhone ของ Apple อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์กล่าวว่า การเปิดตัว X10 ก่อนคริสต์มาสอาจะส่งผลกระทบกับผลิตภัณฑ์อย่าง Satio เพราะผู้บริโภคอาจจะรอไปซื้อ X10 ในต้นปีหน้าแทน

Nook อีบุ๊ก

Nook อีบุ๊กของ B&N เผยโฉมแล้ว!!!


Nook อีบุ๊กของ B&N

Nook เครื่องอ่านอีบุ๊กของ B&N ได้เปิดตัวแล้ววานนี้ ซึ่งมันทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android โดยมีคุณสมบัติที่โดดเด่นกว่าเครื่องอ่านอีบุ๊กหลายๆ รุ่นที่มีอยู่ในท้องตลาดปัจจุบัน ขนาดของตัวเครื่อง 7.7 x 4.9 x 0.5 นิ้ว และหนัก 11.2 ounces (317.5 กรัม) ตัวเครื่องมีจอแสดงผล 2 จอที่มีคุณสมบัติ และฟังก์ชันแตกต่างกัน โดยจอด้านบนจะใช้เทคโนโลยี e-Ink (แบบเครื่องอ่านอีบุ๊กทั่วไป) จาก Vizplex ส่วนด้านล่างจะเป็นหน้าจอสี(3.5 นิ้ว) ที่ทำงานในระบบสัมผัส ซึ่งสนับสนุนการควบคุมการสัมผัสด้วยนิ้วเดียว สามารถใช้นิ้วกวาดเพื่อเลือกปกหนังสือที่ต้องการอ่านได้



B&N ยังเปิดโอกาสให้เจ้าของ Nook สามารถอ่านตัวอย่างอีบุ๊กก่อนซื้อ และสามารถใช้ WiFi ได้ฟรี เวลาที่เข้าไปในร้าน B&N สาขาต่างๆ ได้อีกด้วย สนนราคาของ Nook อยู่ที่ 259 เหรียญฯ (ประมาณ 8,700 บาท) เปิดให้สังจองล่วงหน้าแล้ว โดยจะเริ่มส่งเครื่องถึงมือเจ้าของในเดือนพฤศจิกายน ศกนี้




สื่อหลายแห่งรายงานไปในทางเดียวกันว่า Apple Table ที่น่าจะใช้ชื่อ iSlate น่าจะเปิดตัวในวันที่ 26 มกราคม 2010 ที่ศูนย์ศิลปะ Yerba Buena Center ในซานฟรานซิสโก โดยแหล่งข่าวอ้างว่า iSlate จะมีหน้าจอสัมผัส 10.1 นิ้ว นักพัฒนาแอพพลิเคชันหลายรายได้รับคำสั่งจากแอปเปิลให้เตรียมพัฒนาแอพฯบนไอโฟนที่มีขนาดจอใหญ่ขึ้น (เพิ่มโหมดแสดงผลเต็มจอ)
เป็นทีทราบกันดีว่า แอปเปิ้ลมักจะเก็บความลับเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ไว้จนกว่าจะถึงนาทีสุดท้าย สิ่งที่หลายคนยังไม่แน่ใจนักก็คือ ตำแหน่งทางการตลาดของ iSlate ออกมาเพื่อชนกับเครื่องอ่านอีบุ๊ก (e-book reader) หรือตลาด แท็บเล็ต (Table) กับเน็ตบุ๊ก (Netbook) กันแน่ แต่โดยวิธีคิดที่ผ่่านมาของแอปเปิล ทางบริษัทมักชอบที่จะเปลี่ยนกฎของเกมที่กำลังเล่นอยู่ในตลาดเสมอ โดยทิ้งคู่แข่งให้อยู่เบื้องหลัง



หากสังเกตแอปเปิลเคยเปลี่ยนกฎของเครื่องเล่นเพลงดิจิตอลด้วยไอพอด (iPod) จากนั้นวางกติกาใหม่สำหรับอุตสาหกรรมเพลงออนไลน์ด้วยไอจูนส์ (iTunes) หลังจากนั้นบริษัทยังได้เปลี่ยนธุรกิจสื่อสารด้วยไอโฟน (iPhone) และคราวนี้ไอสเลท (iSlate) กำลังจะเปิดตัว เพื่อเปลี่ยนเกมธุรกิจอะไรกันแน่? คำถามคือ มันจะช้าไปหรือไม่? หากจะเปลียนเกมตลาดของเน็ตบุ๊กตอนนี้ หรือมันจะทำให้ตลาดแท็บเล็ตบูม หรือจะรวมคุณสมบัติของอุปกรณ์ทุกอย่างเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างเซกเมนต์ใหม่ของตลาด และทิ้คู่แข่งทั้งหมดไว้เบื้องหลังเหมือนเช่นเคย





ในการกระโดดเข้าสู่ตลาดเครื่องอ่านอีบุ๊กในครั้งนี้ ทางมาร์เวลล์ได้ร่วมมือกับบริษัทอีอิงค์ (E Ink) ในการพัฒนาโพรเซสเซอร์สำหรับแอพพลิเคชันอีบุ๊กโดยเฉพาะ โดยคาดว่าผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยีใหม่นี้จะสามารถตีตลาดได้ในไตรมาสแรกของ ปี 2010 ซึ่งผลิตภัณฑ์ตัวแรกที่ใช้แพลตฟอร์มใหม่นี้ก็คือ enTourage Edge เครื่องอ่านอีบุ๊กที่มาพร้อมกับเน็ตบุ๊กในตัวที่ได้เคยนำเสนอไปแล้วก่อนหน้า นี้ รวมถึง Alex reader จาก Spirng Design และเครื่องอ่านอีบุ๊กรุ่นต่างๆ ของ Plastic Logicแพลตฟอร์มอีบุ๊กรุ่นใหม่ของมาร์เวลล์พัฒนาจากโพ รเซสเซอร์ในตระกูล Armada ที่ได้มีการเปิดตัวเมื่อเดือนที่แล้ว สำหรับบริษัทมาร์เวลล์เป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่สำหรับฟังก์ชันการทำงานต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น Wi-Fi, Bluetooth และการเชื่อมต่อผ่านเครือข่ายเซลลูลาร์ ซึ่งทำใหทางบริษัทมองว่า ตนมีความพร้อมที่จะผลิตชิปทีผู้ผลิตเครื่องอ่านอีบุ๊กต้องการ นอกจากนี้ทางบริษัทยังได้ร่วมมือกับ FirstPaper ที่ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทสื่อยักษ์ใหญ่อย่าง Hearst Corp สำหรับเทคโนโลยีทางด้านกราฟิก และคอนเท็นต์



Weli Dai ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทมาร์เวลล์กล่าวว่า ราคาเริ่มต้นสำหรับเครื่องอ่านอีบุ๊กที่ใช้แพลตฟอร์มของมาร์เวลล์จะอยู่ที่ ประมาณ 150 เหรียญฯ ซึ่งถูกกว่าราคาในท้องตลาดปัจจุบันถึ่ง 199 เหรียญฯ (เครื่องอ่านอีบุ๊ก Kindle มีราคาอยู่ที่ 349 เหรียญฯ) "เรามองเห็นว่า ตลาดเครื่องอ่านอีบุ๊กจะใหญ่ และมีความสำคัญมาก" เธอกล่าว โดยเครื่องอ่านอีบุ๊กจะเข้าไปใช้ในแอพพลิเคชันทางด้านต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มลูกค้าในตลาดผู้บริโภคทั่วไป ธุรกิจ การศึกษา และสุขภาพ ทางบริษัทยังเปิดเผยอีกว่า เทคโนโลยีใหม่จะทำให้การโหลด เพื่อแสดงผลหน้าของอีบุ๊กเร็วกว่าเดิม โดยใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวินาทีตลาด เครื่องอ่านอีบุ๊กมีการเติบโตอย่างชัดเจนในปีนี้ นอกจากผู้นำอย่าง Kindle ของแอมะซอนแล้ว Reader ของโซนี่ และ Nook ของ B&N ก็ยังเป็นตัวเล่นในตลาดที่ช่วยเร่งให้เครื่องอ่านอีบุ๊กได้รับความนิยมมาก ยิ่งขึ้น ซึ่งข้อมูลจาก Forrester Research ประเมินโดยคร่าวๆ ว่า เครื่องอ่านอีบุ๊กทีมีการจำหน่ายออกไปเฉพาะในสหรัฐอยู่ที่ประมาณ 3 ล้านเครื่อง โดยยอดขายจะเติบโตเป็นสองเท่าในปี 2010 ทั้งนี้ราคาของเครื่องอ่านจะตกลงอย่างรวดเร็วเมื่อมีคู่แข่งรายใหม่ๆ เข้ามาในตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากผู้เล่นเหลักๆ ที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้นแล้ว ยังมีเครื่องอ่านอีบุ๊กจากรายอื่นๆ อีกด้วยอย่างเช่น Cool-er ของ Interead, Cybook OPUS จาก Bookeen และเครื่องอ่านอีบุ๊กรุ่นใหม่จาก iRex Technologies รวมถึงบริษัที่แยกตัวจาก Philips Electronics และ Asustek ในไต้หวัน



ILounge บล็อกที่ติดตามข่าวคราวของไอพอด และไอโฟนอ้างว่า แอปเปิลมีแผนจะประกาศเปิดตัวแท็บเล็ตในวันที 19 มกราคม 2010 ส่วนแหล่งข่าววงในบอกว่า มันจะมีขนาด 10.7 นิ้ว และทำงานด้วยระบบปฏิบัติการของ iPhone อย่างไรก็ดี แท็บเล็ตดังกล่าวจะมีความละเอียดของการแสดงผลบนหน้าจอที่สูงกว่าไอโฟน หรือไอพอดทัช "คาดว่าน่าจะ 5 - 6 เท่าของความละเอียดบนหน้าจอไอพอดทัช (ประมาณ 720p) และมีพื้นที่หน้าสัมผัสมากกว่า 7 เท่า"


นอกจากนี้มันยังมีรุ่นทีมาพร้อมกับความสามารถในการเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สาย 3G ให้เลือกอีกด้วย ซึ่งทำให้รุ่นทีมาพร้อมกับ 3G มีขนาดใหญ่กว่ารุ่นที่ไม่มี แหล่งข่าวจาก ILounge ยังกล่าวอีกว่า แท็บเล็ตของแอปเปิลจะมาแทนที่หนังสือ และนิตยสาร นั่นหมายความว่า มันจะเป็นคู่แข่งอีกรายหนึ่งของ Amazon Kindle หรือว่าในอนาคตอันใกล้เราจะได้เห็น iTune Store จำหน่ายอีบุ๊กที่มีความอินเตอร์แอคทีฟมากกว่า ถ้าเป็นจริง นี่อาจจะเป็นอีกครั้งหนึ่งที่แอปเปิลเข้ามาเขย่าอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ หลังจากอุตสาหกรรมเพลง ปีหน้าเราคงได้รู้กัน

Nokia Booklet 3G

Nokia Booklet 3G




โนเกียผู้ผลิตโทรศัทพ์มือถือรายใหญ่ของโลก ได้กระโจนเข้าสู่ตลาดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กอย่างเต็มตัวแล้ว (หลังจากเป็นแค่ข่าวลือ) ด้วยการเปิดตัวโน้ตบุ๊กที่ชื่อว่า Nokia Booklet 3G ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กขนาดเล็ก แบบเดียวกับกับเน็ตบุ๊กที่เราคุ้นเคยกันดี
Nokia Booklet 3G เป็นโน้ตบุ๊กที่มีขนาดจอเพียง 10.1 นิ้ว ใช้ซีพียู Atom ของอินเทล รองรับระบบการติดต่อสื่อสารไร้สายยอดนิยมอย่าง 3G/HSDPA, A-GPS, WiFi, Bluetooth พร้อมด้วยพอร์ตสำหรับต่อจอภาพภายนอกแบบ HDMI ตัวเครื่องมีความหนาประมาณ 2 เซนติเมตร ใช้งานด้วยแบตเตอรี่ได้ยาวนานถึง 12 ชั่วโมง มีน้ำหนักประมาณ 1.22 กิโลกรัม สำหรับ Nokia Booklet 3G จะทำการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน Nokia World 09 ในวันที่ 2 กันยายนที่จะถึงนี้


ประหลาดใจหรือไม่ Nokia ประกาศเปิดตัวของมินิครั้งแรกของพวกเขาแล็ปท็อป, Nokia Booklet 3G. เปิดผ้าคลุมหน้านี้จะเกิดขึ้นในช่วง Nokia World Event ในกันยายน 2. บางรายละเอียดการกำหนดค่าถูกนำเสนอในการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับ Nokia Booklet 3G และพวกเขามีดังนี้

ซึ่งมีคุณสมบัติ ดังนี้

- 1.6GHz Intel Atom Z530 processor;



- จอแก้ว 10 นิ้ว ในรูปแบบ HD

- การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านที่สร้างขึ้นใน 3G/HSPA และ Wifi;

- พอร์ต HDMI สำหรับวิดีโอ HD ออก;

- กล้องสำหรับ Video Call ;

- Integrated Bluetooth;

- SD card reader;- Integrated A-GPS;

- บริการ Ovi Suite and Services Integration.ด้วย

- น้ำหนัก 1.25Kg หนาเพียง 2cm เท่่านั้น



สำหรับด้านความบันเทิงก็ไม่น้อยหน้าครับเพราะ Nokia Booklet 3G รองรับ high-definition video output, HDMI port สำรหับการใช้งาน Video Call มี Bluetooth และ ช่องเสียบ SD card reader มาให้ครบ ขนาดหน้าจอเครื่องรุ่นนี้จะมีขนาดความกว้างหน้าจอ 10 นิ้ว มี A-GPS ติดตั้งในตัว ซึ่งทำงานร่วมกับ Ovi Map ของทางNokia ความสามารถในการเชื่อมต่อกับ Ovi จึงทำให้มันสามารถเข้าถึง Nokia Music Store ได้ง่าย สำหรับเรื่องของราคานั้นยังไม่กำหนดครับ แต่จะออกโชว์ตัวครั้งแรกอย่างเป็นทางการที่เยอรมัน ในงาน Nokia World Conference วันที่ 2 เดือน กันยายนนี้หละครับ
แปลกใจเหมือนผมไหมว่าทำไมจู่ๆ Nokia จึงหันมาบุกตลาดเจ้าพวกเครื่อง Notebook ขนาดเล้กแบบนี้ ซึ่งเรื่องนี้มีคำตอบครับ ทาง Nokia’s Executive Vice President ด้าน Devices ที่ชื่อนาย Kai Oistamo บอกเอาไว้ว่า สาเหตุที่ Nokia หันมาจับตลาดกลุ่มนี้เพราะว่า จำนวนการเติบโตของผู้ใช้ที่ต้องการเครื่องในแบบPCขนาดเล็กที่มีลักษณะ สอดคล้องและรองรับการใช้งานด้าน Mobility นั้นมันเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ และตามสโลแกนของ Nokia ที่บอกไว้ว่าเค้าจะทำธุรกิจด้าน Connecting People เชื่อมคนเข้าหากัน ดังนั้น Nokia Booklet 3G จึงเป็นเครื่องมือตัวใหม่ที่ทาง Nokia สร้างขึ้นมาเพื่อเสริมการใช้งานให้คนเชื่อมหาถึงกันได้สมบูรณ์มากขึ้น





คอนเซ็บรูปแบบลักษณะ Mobile companion หรืออุปกรณ์เสริมสำหรับการใช้งานด้าน Mobile แบบนี้ จริงๆแล้วทาง CEO ของ Palm เคยคิดมาก่อนเมื่อหลายปีที่แล้วก่อนที่ Netbook จะบูมเสียอีก เห็นออกมาเผยตัวว่าทาง Palm กำลังจะทำแต่แล้วก็ล้มโปรเจคไปอย่างน่าเสียดาย ซึ่งอาจจะเกิดผิดเวลาไปหน่อย ทำให้ตลาดไม่เป็นที่ยอมรับ แต่พอมาถึงตอนนี้มันช่วงขาขึ้นบูมสุดๆของ Netbook จึงเป็นโอกาสเหมาะสำหรับหลายๆยี่ห้อครับ Palm เองจริงๆคิดก่อนเค้าหลายก้าวแต่ก็ ก้าวไม่ทันเค้าสักที ตอนนี้ Palm Pre แม้ว่าจะเจ๋งตอนเปิดตัว แต่ตอนนี้ก็โดนแช่อิ่มไปแล้วยังไม่ออกขายในแบบ GSM เป็นเรื่องเป็นราวสักที



โน้ตบุ๊ก-แท็บเล็ต"ไฮบริด


IdeaPad U1 Hybrid มาพร้อมกับโพรเซสเซอร์ 2 ตัว และสตอเรจ 2 ชุดแยกกันทำงานตามฟังก์ชันที่ใช้ว่าเป็นแท็บเล็ต หรือโน้ตบุ๊ก เมื่อประกอบร่างเป็นโน้ตบุ๊กเครื่องเดียวจะมีน้ำหนัก 1.72 กิโลกรัม อย่างไรก็ดี IdeaPad U1 Hybrid สามารถแยกการใช้งานเป็น "แท็บเล็ต"หน้าจอสัมผัสแบบ"มัลติทัช"ที่มีขนาด 11.6 นิ้ว และทำงานด้วยโพรเซสเซอร์ Snapdragon ของ Qualcomm พร้อมหน่วยความจำ 512MB ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Linux แต่ใช้อินเตอร์เฟซเดียวกันกับ Skylight (Smartbook ของเลอโนโว) โดยทางบริษัทอ้างว่า ลำพังการใช้งานเป็นแท็บเล็ตจะสามารถทำงานต่อเนื่องได้ 6 ชั่วโมง ในขณะที่การเชื่อมต่อการทำงานแบบ 3G จะใช้งานได้จนกระทั่งแบตฯ เหลือ 3 ชั่วโมง ทั้งนี้แท็บเล็ตสามารถแสดงผลได้ทั้งสองแนวคือ แนวนอน (landscape) และแนวตั้ง (Portrait)



เมื่อประกอบแท็บเล็ต เพื่อใช้งานเป็นโน้ตบุ๊ก IdeaPad U1 Hybrid ก็จะทำงานโพรเซสเซอร์ Intel ULV Core 2 Duo SU พร้อมหน่วยความจำ 4GB ชิปเซตกราฟิก Intel GMA เว็บแคม 1.3 ล้านพิกเซล พอร์ต USB 2.0 2 พอร์ต และ eSATA แถมยังจะมีพอร์ต HDMI และ VGA พร้อมช่องอ่านการ์ดหน่วยความจำแบบ 4-in-1 ให้อีกด้วย ผู้ใช้สามารถเพิ่ม SSD ที่ให้กับเครื่องเป็น 128GB รวมกับ 16GB ที่อยู่ในแท็บเล็ต IdeaPad U1 Hybrid จึงเป็นแลปทอป 2-in-1 คือ โน้ตบุ๊กกับแท็บเล็ตทีสามารถรวม หรือแยกการใช้งานได้ตามวัตถุประสงค์ สนนราคาอยู่ที่ประมาณ 999 เหรียญฯ (ประมาณ 35,000 บาท) และคาดว่าจะสามารถวางตลาดได้วันที 1 มิถุนายน

3G USB Modem

3G USB Modem





Compass 885 ( USB 3G Modem )

Compass 885 USB Modem : USB 3G Modem รุ่นใหม่จาก Sierra Wireless จะถูกพัฒนาให้ดีกว่ารุ่น Sierra 881U AirCard ตรงเรื่องของขนาดที่เล็กลงเท่าๆกับ Flash Drive ทั่วๆไป ถูกออกแบบมาให้กินไฟจาก Notebook น้อยลง จึงไม่จำเป็นต้องใช้ Battery เสริมอีกต่อไป และด้วย Technology Receive Diversity ซึ่งจะทำให้รับสัญญาณ 3G ( HSPA ) ได้ดีและไม่ได้ถูกลดทอนลงตามขนาดของ AirCard แต่อย่างใด แถมด้วย Slot สำหรับใส่ Micro SD Card ทำให้สามารถใช้ AirCard ตัวนี้เป็น Flash Drive สำหรับเก็บข้อมูลได้ด้วย ด้วยชื่อยี่ห้อ Sierra Wiereless จึงรับประกันได้ว่า AirCard ทุกรุ่นเป็นของมีคุณภาพ





คุณสมบัติ : เป็น USB 3G Modem ( USB AirCard )- ใช้รับสัญญาณ Edge / GPRS (class 12) ของ AIS, DTAC True และ TOT - Slot สำหรับใส่ Micro SD ( Max 8GB )- รับ/ส่ง SMS ได้- รองรับการใช้งาน Voice (ใช้เพื่อเติมเงินหรือCheckเวลาในSimcard เท่านั้น, พูดคุยไม่ได้)- ใช้เป็น USB GPS Receiver ได้ เปิดการใช้งาน ฟรี ***
( การขอเปิด GPS ของ Compass 885)ขนาดของ AirCard : 6.50ซม. x 2.50ซม. x 1.35ซม. (ยาว x กว้าง x สูง) / หนัก 30 กรัมรองรับระบบ3G : 3G ความถี่ 850, 1900, 2100 ของ AIS DTAC True และ TOT ความเร็วสูงสุด : 3G Download 7.2Mbps / Upload 2Mbps (สามารถ Up firmware เป็น 5.76 Mbps ได้ในอนาคต)การประกัน : ประกัน 1ปี เสียมีตัวสำรองให้ทันทีใช้ได้กับ : Windows 2000, XP, Vista, 7 (32 & 64 bits) / Mac OS X หรือสูงกว่านั้น









จุดเด่น : Compass 885 USB Modem จะมี Micro SD slot สำหรับใส่ Micro SD card ทำให้นำมาใช้แทน flash drive ทั่วไปได้ และ AirCard ถูกออกแบบมาให้มีขนาดเล็ก พอๆกับ Flash Drive ทั่วไป พกพาและใช้งานได้สะดวกราคา : 3,300 บาท ( ของใหม่ จากอเมริกา )มารับสินค้าได้ที่ RCA พระราม9 หรือส่งทางไปรษณีย์ (โอนเงินส่งฟรี, เก็บเงินปลายทางค่าส่ง 150บาท)***ลูกค้าเก่า, ร้านค้า หรือบริษัท มีส่วนลดพิเศษ โทรสอบถามได้


อุปกรณ์เสริม : เสาอากาศนอก ( Antenna ) สำหรับ Sierra AirCard คุณสมบัติ - ใช้เพิ่มความสามารถในการรับสัญญาณ ของผู้ให้บริการ AIS , DTAC และ True ทั้งระบบ GPRS , EDGE และ 3G เหมาะกับพื้นที่ ที่รับสัญญาณได้ต่ำว่า 3 ขีด (จาก 5 ขีด) โดยดูความแรงของสัญญาณ ได้จากตัว Program 3G Watcher หรือบนมือถือ- ใช้ได้กับ AirCard ของ Sierra Wireless ทุกรุ่น - ความยาวของสาย 2 เมตร / ความสูงของเสา 6 ซม.



Compass 888 ( 3G USB Modem )
***เนื่องจาก Sierra ได้ผลิต USB Modem รุ่นที่ใหม่กว่า Sierra Compass 888 ออกมาคือรุ่น Sierra USB 306 ซึ่งจะมีความสามารถที่เพิ่มขึ้นมาก จึงขอแนะนำให้ดูรุ่น USB 306 แทนส่วนหน้า Sierra Compass 888 นี้จะเก็บไว้เป็นข้อมูลเพื่อใช้อ้างอิงเท่านั้นCompass 888 USB Modem : USB 3G Modem รุ่นใหม่จาก Sierra Wireless Compass 888 จะมี Function การใช้งานหลักๆเหมือนกับ Compass 885 คือขนาดที่เล็กเท่าๆกับ Flash Drive ทั่วๆไป ถูกออกแบบมาให้กินไฟจาก Notebook น้อยลง จึงไม่จำเป็นต้องใช้ Battery เสริมอีกต่อไป และด้วย Technology Receive Diversity ซึ่งจะทำให้รับสัญญาณ 3G ( HSPA ) ได้ดี Slot สำหรับใส่ Micro SD Card ทำให้สามารถใช้ AirCard ตัวนี้เป็น Flash Drive สำหรับเก็บข้อมูลได้ด้วยCompass 888 จะถูกผลิตและขายโดยตรงจาก Sierra Wireless ( Logo บนตัว Card เป็น Sierra Wireless ) ซึ่งต่างจาก Compass 885 ที่ Sierra ผลิตให้ผู้ให้บริการมือถือ AT&T ( Logo บนตัว Card เป็น AT&T ) ดังนั้น การรับประกันของ Compass 888 ซึ่งขายโดยตรงจาก Sierra Wireless จะมีให้ถึง 2 ปี และตัวกล่องจะเป็นแบบ Original Box ซึ่งจะมีอุปกรณ์เสริมครบชุด คุณสมบัติ : เป็น USB 3G Modem ( USB AirCard )- ใช้รับสัญญาณ Edge / GPRS (class 12) ของ AIS, DTAC และ True- Slot สำหรับใส่ Micro SD ( Max 8GB )- รับ/ส่ง SMS ได้ขนาดของ AirCard : 6.50ซม. x 2.50ซม. x 1.35ซม. (ยาว x กว้าง x สูง) / หนัก 30 กรัมรองรับระบบ3G : 3G ความถี่ 850, 1900, 2100 ที่จะมีในอนาคต ความเร็วสูงสุด : 3G Download 7.2Mbps / Upload 5.76Mbpsการประกัน : ประกัน 2ปี เสียมีตัวสำรองให้ทันทีใช้ได้กับ : Windows 2000, XP, Vista / Mac OS / Linuxจุดเด่น : Compass 888 USB Modem จะมี Micro SD slot สำหรับใส่ Micro SD card ทำให้นำมาใช้แทน flash drive ทั่วไปได้ - AirCard ถูกออกแบบมาให้มีขนาดเล็ก พอๆกับ Flash Drive ทั่วไป พกพาและใช้งานได้สะดวก- มี Driver 3G Watcher ในตัว สามารถนำไปใช้กับ Windows หรือ Max OS X ได้ทันที โดยไม่ต้องใช้ CD Driverอุปกรณ์เสริม : สายคล้องคอ , คลิปสำหรับแขวน Compass 888 กับ Notebook , ซองกำมะหยี่ , สายต่อ USB***เนื่องจาก Sierra ได้ผลิต USB Modem รุ่นที่ใหม่กว่า Sierra Compass 888 ออกมาคือรุ่น Sierra USB 306 ซึ่งจะมีความสามารถที่เพิ่มขึ้นมาก จึงขอแนะนำให้ดูรุ่น USB 306 แทนส่วนหน้า Sierra Compass 888 นี้จะเก็บไว้เป็นข้อมูลเพื่อใช้อ้างอิงเท่านั้น

ประเภทคอมพิวเตอร์

ประเภทคอมพิวเตอร์ในจจุบัน



คอมพิวเตอร์ที่ใช้อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน คือ ไมโครคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีการใช้งานกันมาก ทั้งที่บ้าน ที่ทำงาน ตลอดจนในสถานศึกษาต่างๆ ไมโครคอมพิวเตอร์เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็ก แต่มีประสิทธิภาพในการทำงานที่สูงกว่าเครื่องขนาดใหญ่ในสมัยก่อนเสียอีก อย่างไรก็ดีแม้ว่าไมโครคอมพิวเตอร์จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็ยังมีข้อจำกัดบางประการที่ทำไม่สามารถทำงานที่ใหญ่ และมีความซับซ้อนได้ เช่น งานของระบบธนาคารหรืออุตสาหกรรมซึ้งมีปริมาณมากและมีความซับซ้อนจะเป็นงานที่จำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ที่ทำงานได้ดีกว่าเครื่องไมโครคอมพิวเตอรคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันสามารถแบ่งเป็นประเภทต่างๆ โดยใช้ความแตกต่างจากขนาดของเครื่อง ความเร็วในการประมวลผล รวมทั้งราคาเป็นหลัก คือซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (supercomputer)เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ทำงานได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูง แต่จะมีราคาแพงที่สุด รวมทั้งต้องอยู่ทีห้องได้รับการควบคุมอุณหภูมิ และปราศจากฝุ่นละออง ทำให้ต้องเป็นองค์กรขนาดใหญ่เท่านั้น จึงสามารถจัดหาเครื่องซูเปอร์คอมพิวเตอร์มาใช้งานได้ ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์สามารถใช้งานได้จำนวนหลาย ๆ คน นำมาใช้ในการคำนวณที่ซับซ้อน เช่นการคำนวณทางวิทยาศาสตร์ การบิน อุตสาหกรรมน้ำมันเป็นต้น รวมทั้งพบมากในวงการวิจัยในห้องปฎิบัติการต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนซูเปอร์คอมพิวเตอร์รุ่นแรกสร้างในปี ค.ศ 1960 ที่องค์กรของสหรัฐอเมริกา โดยได้รับการออกแบบให้เป็นคอมพิวเตอร์ที่ความเร็วและมีประสิทธิภาพมากที่สุด ซูเปอร์ทำงานได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีการใช้หลักทีเรียกว่า มัลติโปรเซสซิ่ง (Multiprocessing) อันเป็นใช้หน่วยประมวลผลจำนวนหลายตัว เพื่อทำให้คอมพิวเตอร์สามารถทำงานหลายงานพร้อมกัน โดยที่งานเหล่านั้นมีความแตกต่างกัน งานที่ไม่เกี่ยวข้อง หรืออาจจะเป็นงานที่มีขนาดใหญ่ที่ถูกแบ่งย่อยไปในประมวลผลแต่ละตัวก็ทำงานได้ ซูเปอร์คอมพิวเตอร์มีหน่วยประมวลกลางทั้งหมด 4 ตัว แต่ปัจจุบันคอมพิวเตอร์มีความพัฒนามากจึงทำให้มีหน่วยประมวลผลนับร้อยตัวทำงานพร้อม ๆ กันความเร็วของซูเปอร์คอมพิวเตอร์จะมีการวัดหน่วยเป็น นาโนวินาที (nanosecond) หรือเศษหนึ่งพันล้านวินาที และ จิกะฟลอป (gigaflop) หรือการคำนวณหนึ่งพันล้านครั้งในหนึ่งวินาทีซึ่งคอมพิวเตอร์สามารถคำนวณได้ถึง 128 จิกะฟลอป และใช้เครื่องที่มี สายส่งข้อมูล (data bus) กว้าง 32 หรือ 64 บิตจากคุณสมบัติของซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่กล่าวมาทั้งหมด จะเห็นได้ว่าผู้ใช้ควรนำซูเปอร์คอมพิวเตอร์ไปใช้ในการคำนวณมากๆ เช่น งานด้านกราฟฟิก หรือการคำนวณทางด้านวิทยาศาสตร์ เป็นต้น




เมนเฟรม (Mainframe)เครื่องเมนเฟรมเป็นเครื่องที่ได้รับความนิยมใช้ในองค์กรขนาดใหญ่ทั่วๆไป จัดเป็นเครื่องที่มีประสิทธิภาพรองลงมาจากซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ซึ่งในช่วงปลาย ค.ศ 1950 บริษัท IBM จัดเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ โดยเกิดจากการมีส่วนแบ่งตลาดในการขายเครื่องระดับเมนเฟรมถึง 2 ใน 3 ของผู้ใช้เครื่องเมนเฟรอทั้งหมด เครื่องเมนเฟรมจะเป็นเครื่องที่มีขนาดใหญ่ ต้องอยู่ในห้องที่ได้รับการอุณหภูมิ และปราศจากฝุ่นละอองเช่นเดียวกับซูเปอร์คอมพิวเตอร์เครื่องเมนเฟรมนิยมมาใช้ในงานที่มีการรับและแสดงผลข้อมูลจำนวนมาก ๆ เครื่องรุ่นใหม่ ๆ จะได้การพัฒนาให้มีหน่วยประมวลผลหลายหน่วยทำงานพร้อม ๆ กันเช่นเดียวกับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ แต่มีจำนวณประมวลผลน้อยกว่า หน่วยเมนเฟรมจัดอยู่ในความเร็วของหน่วย เมกะฟรอป (megaflop) หรือการคำนวณหนึ่งล้านครั้งในหนึ่งวินาทีระบบคอมพิวเตอร์ของเครื่องเมนเฟรม ส่วนมากจะมีหน่วยคอมพิวเตอร์ย่อยๆ ประกอบอยู่ด้วย เพื่อช่วยในการทำงานบางประเภทให้กับเครื่องหลัก สามารถแยกตามหน้าที่ได้ดังนี้Host processor เป็นเครื่องหลักทำหน้าที่ควบคุมหน่วยประมวลผล อุปกรณ์รอบข้าง และการคำนวณต่างๆFont-end processor มีหน้าที่ควบคุมติดต่อระหว่างหน้าจอของผู้ใช้งานที่เรียกว่า จอเทอร์มินัลระยะไกล (remote terminal) กับระบบคอมพิวเตอร์หลักBank-end processor มีหน้าทีจัดการเกี่ยวกับการใช้ข้อมูล
โปรเซสเซอร์ส่วนต่าง ๆ บนเมนเฟรมระบบคอมพิวเตอร์ของเตรื่องเมนเฟรม มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะรองรับผู้ใช้ได้หลายร้อยคนพร้อม ๆ กัน ซึ่งผู้ใช้เหล่านั้นอาจจะนั่งทำงานอยู่ใกล้เครื่องเมนเฟรม หรืออาจจะอยู่ที่อื่นซึ่งไหลออกไปก็ได้ เครื่องเมนเฟรมจะเก็บโปรแกรมของผู้ใช้เหล่านั้นไว้ในหน่วยความจำหลัก และมีการสับเปลี่ยนหรือสวิทซ์การทำงานระหว่างโปรแกรมต่าง ๆ เหล่านั้นอย่างรวดเร็ว โดยที่ผู้ใช้จะไม่รู้สึกเลยว่ามีการสับเปลี่ยนการทำงานไปทำงานของคนอื่นอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากคอมพิวเตอร์ทำงานได้เร็วกว่ามนุษย์มาก หลักการที่เครื่องเมนเฟรมสามารถทำงานหลายโปรแกรมพร้อม ๆ กันนั้น เรียกว่า มัลติโปรแกรมมิง (multiprogramming)

มินิคอมพิวเตอร์ (Minicomputer)เริ่มพัฒนาขึ้นใน ค.ศ 1960 ต่อมาจากบริษัท Digital Equipment Corporation หรือ DEC ได้ประกาศตัวมินิคอมพิวเตอร์ DEC POP-8 (Programmed Data Processor) ในปี ค.ศ 1965 ซึ่งได้รับความนิยมจากบริษัทหรือองค์กรที่มีขนาดกลาง เพราะมีราคาถูกกว่าเมนเฟรมมาก เครื่องมินิคอมพิวเตอร์จะใช้หลักการของมัลติโปรแกรมมิงเช่นเดียวกับเมนเฟรม โดยจะสามารถรองรับผู้ใช้ได้ประมาณ 200 คนพร้อม ๆ กัน แต่สิ่งที่แตกต่างระหว่างเครื่องเมนเฟรมและเครื่องมินิคอมพิวเตอร์ ก็คือความเร็วในการทำงาน เนื่องจาก เครื่องมินิคอมพิวเตอร์จะทำงานได้ช้ากว่าการควบคุมผู้ใช้งานต่าง ๆ การะทำได้ในจำนวนที่น้อยกว่า รวมทั้สื่อที่เก็บข้อมูลต่าง ๆ มีความจุไม่สูงเท่าเมนเฟรม ดังนั้นเครื่องมินิคอมพิวเตอร์จึงจัดได้ว่ามินิคอมพิวเตอร์เป็นขนาดกลาง



เวิร์คสเตชัน (Workstation) และไมโครคอมพิวเตอร์ (Micro Computer)ในการทำงานบนเครื่องเมนเฟรมหรือมินิคอมพิวเตอร์ ผู้ใช้จะสามารถควบคุมการรับข้อมูลและดูการแสดงผลบนจอภาพได้เท่านั้น ไม่สามารถควบคุมอุปกรณ์รอบข้างอื่น ๆ ได้ แต่การใช้ระบบคอมพิวเตอร์ชนิดที่มีผู้ใช้คนเดียวนั้น จะทำให้ผู้ใช้สามารถควบคุมอุปกรณ์รอบข้างต่าง ๆ ได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นหน่วยรับข้อมูล หน่วยประมวลผล หน่วยแสดงผล ตลอดจนหน่วยเก็บข้อมูลสำรอง นอกจากนี้ ผู้ใช้สามารถเลือกใช้โปรแกรมได้เอง โดยไม่ต้องกังวลว่าจะต้องไปแย่งเวลาการเรียกใช้ข้อมูลกับผู้ใช้อื่นคอมพิวเตอร์สำหรับผู้ใช้คนเดียว สามารถแบ่งออกเป็น 2 รุ่น คือเวิร์คสเตชั่น ถูกออกแบบมาให้เป็นคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ ที่มีความสามารถในการคำนวนด้านวิศวกรรม สถาปัตยกรรม หรืองานอื่นๆ ที่เน้นการแสดงผลด้านกราฟฟิกต่าง ๆ เช่น การนำมาช่วยออกแบบภาพกราฟฟิกในโรงงานอุตสาหกรรมเพื่อออกแบบชิ้นส่วนใหม่ ๆ เป็นต้น ซึ่งจากการที่ต้องทำงานกราฟฟิกที่มีความละเอียดสูง ทำให้เวิร์คสเตชั่นใช้หน่วยประมวลผลที่มีประสิทธิภาพมาก รวมทั้งมีหน่วยเก็บข้อมูลสำรองจำนวนมากด้วย มีผู้ใช้บางกลุ่มเรียกเครื่องระดับเวิร์คสเตชั่นนี้ว่า ซูเปอร์ไมโคร (supermicro) เพราะออกแบบมาให้ใช้งานแบบตั้งโต๊ะ แต่ชิปที่ใช้ทำงานนั้นแตกต่างกันมาก เนื่องจาก เวิร์คสเตชั่นส่วนมากใช้ชิปประเภท RISC (reduce instruction set computer) ซึ่งเป็นชิปที่ลดจำนวนคำสั่งที่สามารถใช้สั่งงานให้เหลือเฉพาะที่จำเป็น เพื่อให้สามารถทำงานได้ด้วยความเร็วสูงไมโครคอมพิวเตอร์ ได้ถูกพัฒนาขึ้นในปี ค.ศ. 1975 และได้รับความนิยมอย่างเมื่อ IBM ได้สร้างเครื่อง IBM PC ออกมา ไมโครคอมพิวเตอร์ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันจะมี 2 ชนิดคือ Apple Macintosh และ IBM PCในปัจจุบัน ความแตกต่างหรือช่องว่างระหว่างเครื่องเวิร์คสเตชั่นและเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ เริ่มลดน้อยลงเรื่อย ๆ เพราะเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ระดับสูงในปัจจุบัน มีประสิทธิภาพของเครื่องและความเร็วในการแสดงผลที่ดีกว่าเครื่องเวิร์คสเตชั่นจำนวนมาก



คอมพิวเตอร์เครือข่าย (Network computers)เป็นคอมพิวเตอร์แบบใหม่ซึ่งเปลี่ยนแปลงมาจากไมโครคอมพิวเตอร์ โดยได้รับอิทธิพลมาจากแนวคอมพิวเตอร์อินเตอร์เนต คอมพิวเตอร์เครือข่ายหรือที่นิยมเรียกว่า NC จะถูกออกแบบให้เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีราคาต่ำ ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาน้อย ทำให้เหมาะสมกับการใช้งานปริมาณมาก ๆ ในองค์กรขนาดใหญ่ รวมทั้งการเชื่อมต่ออินเตอร์เนตคอมพิวเตอร์เครือข่ายจะไม่มีหน่วยเก็บข้อมูลสำรองอยู่ในตัว การจัดเก็บข้อมูลและโปรแกรมตะอยู่เครื่องศูนย์กลาง (Server) ซึ่งมีข้อดีคือการเปลี่ยนรุ่น (upgrade) ซอฟต์แวร์สามารถทำงานได้ง่าย สามารถทำงานจากเครื่องคอมพิวตอร์เครือข่ายเครื่องใดก็ได้ รวมทั้งง่ายต่อการดูแลรักษา (mailtenance) ของผู้ดูแลระบบคอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์แบบฝัง (Embeddded computer)เป็นคอมพิวเตอร์ที่ถูกฝังไปในอุปกรณ์ ทำให้มองไม่เห็นรูปลักษณ์ภายนอกว่าเป็นคอมพิวเตอร์ นิยมใช้ในการทำงานเฉพาะด้านโดยควบคุมการทำงานบางอย่าง เช่น เตาอบไมโครเวฟ ระบบการเติมน้ำมัน นาฬิกาข้อมือ อุปกรณ์เล่นเกม เป็นต้น

วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2553

NEW ! สุดยอดนวตกรรมโทรศัพท์มือถือ

NEW ! สุดยอดนวตกรรมใหม่แห่งการสื่อสาร



คอมพิวเตอร์มือถือโนเกีย เอ็น 97มินิ

มินิ คอมพิวเตอร์มือถือโนเกีย เอ็น 97 มินิ มีขนาดเล็กกว่า เอ็น 97 จอสัมผัส 3.2 นิ้ว ปรับแต่งหน้าจอให้เป็นเอกลักษณ์ส่วนตัว รองรับบริการโอวี่แม็พ เวอร์ชั่น 3.0 อัพเดทสถานะและตำแหน่งปัจจุบันไปเฟซบุ๊คได้ทันที โนเกีย (ประเทศไทย) เปิดให้จองผ่านเว็บไซต์ www.nokia.co.th/n97minipreorder ฝึกสร้างการ์ตูน เอชพี การ์ตูนเน็ตเวิร์คและทรู วิชั่นส์ จัดกิจกรรมสร้างตัวการ์ตูนแอนมิเนชั่น ให้ฝึกทำแอนิเมชั่นผ่านเทคโนโลยีเอชพี ทัชสมาร์ทและซอฟต์แวร์ของการ์ตูนเน็ตเวิร์ค ผลงานทั้งหมดจะนำขึ้นเว็บไซต์ http://www.tooncreatorawards.com/



โนเกีย N900

โนเกียรุดหน้าไปอีกขั้นกับวิวัฒนาการของซอฟท์แวร์ Maemo นำเสนอโนเกีย N900 ซึ่งเป็นการพัฒนาต่อยอดจากโลกของคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ นำระบบปฏิบัติการ Linux Maemo ซึ่งเป็นระบบเปิดมามอบประสบการณ์การใช้งานเสมือนการใช้งานคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะบนอุปกรณ์ขนาดพกพา
โนเกีย N900 เป็นวิวัฒนาการต่อเนื่องจากอินเตอร์เน็ตแท็บเล็ตของโนเกีย และเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ที่สนใจเทคโนโลยี ชื่นชอบประสิทธิภาพในการทำงานได้หลายอย่างในเวลาเดียวกัน (Multitask) รวมทั้งการท่องอินเตอร์เน็ต บนมือถือได้เฉกเช่นกับการท่องอินเตอร์เน็ตบนคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ
โนเกีย N900 ขับเคลื่อนการทำงานด้วยซอฟท์แวร์ Maemo 5 สามารถเปิดใช้แอพพลิเคชั่นหลายตัวได้พร้อมๆ กัน ในขณะที่ใช้งานฟีเจอร์ต่างๆ ของโทรศัพท์มือถือ โนเกีย N900 มาพร้อมหน้าจอสัมผัส และคีย์บอร์ดเต็มรูปแบบ (QWERTY)



โนเกีย X6

โนเกีย X6 เปิดรับคุณเข้าสู่ประสบการณ์ใหม่ๆทางดนตรี ด้วยประสิทธิภาพการฟังเพลงต่อเนื่องได้นานถึง 35 ชั่วโมง นับเป็นอุปกรณ์เพื่อความบันเทิงอันทรงพลังบนจอสัมผัสขนาด 3.2 นิ้ว กล้องเลนส์ Carl Zeiss ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล และเต็มอิ่มกับหน่วยความจำในตัวขนาด 32 GB โนเกีย X6 ยังเป็นอุปกรณ์ตัวจริงสำหรับผู้ที่ชื่นชอบดนตรีและกิจกรรมสังสรรค์ ด้วยจอภาพ widescreen ขนาด 16:9 เหมาะสำหรับภาพนิ่ง ภาพวิดีโอ และเบราว์ซิ่ง พร้อมเชื่อมตรงสู่ Ovi Store ทำให้โนเกีย X6 กลายเป็นเวทีสร้างสรรค์กิจกรรมร่วมกับ 20 เพื่อนสนิทและชุมชน Facebook ได้ง่ายๆ บนหน้าจอคุณ


โนเกีย X3 โนเกีย X3 ออกแบบมาสำหรับผู้รักเสียงเพลงโดยเฉพาะ ด้วยรูปแบบสไลด์โฟน ดีไซน์ทันสมัย รูปลักษณ์เพรียวบาง มาพร้อมลำโพง ช่องต่อหูฟังขนาด 3.5 ม.ม. และวิทยุ FM ในตัว กล้องความละเอียด 3.2 ล้านพิกเซล การเชื่อมต่อข้อมูลแบบ GPRS, EDGE และบลูทูธ โนเกีย X3 เป็นโทรศัพท์ระบบปฏิบัติการ S40 รุ่นแรกที่สามารถเข้าใช้งาน Ovi Store

โนเกีย E72 สมาร์ทโฟนที่มาพร้อมแป้นกด QWERTY เต็มรูปแบบ เพื่อมอบประสบการณ์อีเมล์ไร้สายและ Chat แบบครบเครื่องโนเกีย E72 น้องใหม่ล่าสุดจากตระกูลอีซีรีส์ เป็นภาคต่อความสำเร็จอย่างท่วมท้นของโนเกีย E71 และเป็นรุ่นที่ยังคงส่วนประกอบหลักๆ ของต้นแบบไว้ และได้รับการพัฒนาศักยภาพในหลายๆ ด้าน เป็นครั้งแรกที่คุณสามารถติดตั้ง Chat ของ Nokia Messaging ไว้บนหน้าจอเพื่อเข้าสู่เว็บบริการส่งข้อความที่คุณชื่นชอบอย่าง Yahoo! Messenger, Google Talk, Ovi ฯลฯ ได้ทันทีด้วยขั้นตอนง่ายๆ เพียงปลายนิ้วสัมผัส โนเกีย E72 มาพร้อมกล้องความละเอียด 5 ล้านพิกเซล และคุณสามารถสนุกกับการแบ่งปันภาพถ่ายบน Share on Ovi



แปลงมือถือ Nokia 6230i ให้เป็นเมาส์บลูทูธความท้าทายของโปรเจกต์นี้ก็คือ โปรแกรมจาวาดังกล่าวจะต้องสามารถจับเฟรมต่างๆ ของภาพที่ได้จากล้องดิจิตอล เพื่อมาแปลงเป็นทิศทาง และความเร็วของการเคลื่อนที่ แล้วส่งเข้าไปยังคอมพิวเตอร์ในรูปของการเคลื่อนที่พอยน์เตอร์ของเมาส์ น่าเสียดายที่เจ้าของโปรเจกต์ยังไม่ได้เปิดให้ผู้สนใจดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ตัวนี้ แต่ผมว่า แค่ได้รับทราบไอเดียดีๆ อย่างนี้ก็คุ้มแล้ว เพื่อนๆ คนไหนอยากลองทำเล่นดูก็ไม่ว่ากันนะครับ หรือจะลองส่งผลงานทางด้านไอทีมาให้กองบรรณาธิการพิจารณา เพื่อตีพิมพ์ลงในนิตยสารของทางบริษัทก็ได้นะครับ
ความท้าทายของโปรเจกต์นี้ก็คือ โปรแกรมจาวาดังกล่าวจะต้องสามารถจับเฟรมต่างๆ ของภาพที่ได้จากล้องดิจิตอล เพื่อมาแปลงเป็นทิศทาง และความเร็วของการเคลื่อนที่ แล้วส่งเข้าไปยังคอมพิวเตอร์ในรูปของการเคลื่อนที่พอยน์เตอร์ของเมาส์ น่าเสียดายที่เจ้าของโปรเจกต์ยังไม่ได้เปิดให้ผู้สนใจดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ตัวนี้ แต่ผมว่า แค่ได้รับทราบไอเดียดีๆ อย่างนี้ก็คุ้มแล้ว เพื่อนๆ คนไหนอยากลองทำเล่นดูก็ไม่ว่ากันนะครับ หรือจะลองส่งผลงานทางด้านไอทีมาให้กองบรรณาธิการพิจารณา เพื่อตีพิมพ์ลงในนิตยสารของทางบริษัทก็ได้นะครับ
เปลี่ยน iPhone เป็นเครื่องรูดบัตรเครดิต



Credit Card Reader เครื่องอ่านบัตรเครดิตที่สามารถทำงานร่วมกับไอโฟน และไอพอดทัชได้อย่างลงตัว ซึ่งคาดว่า ดีไซน์ที่ออกมาจะไม่ใช่ลักษณะของอุปกรณ์พ่วงชิ้นใหญ่ แต่จะรวมร่างกับไอโฟนได้อย่างเป็นอย่างดี ตามคอนเซปต์การออกแบบของ Mophie ผลลัพธ์ที่ได้จากเครื่องอ่านบัตรเครดิตบนไอโฟนก็คือ ผู้ใช้จะสามารถสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ และรูดบัตรเครดิตได้ตลอดเวลาที่ต้องการ เรียกว่า อำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ mobile commerce อีกขั้นหนึ่งนั่นเอง




ไอโฟนกับ"คีย์บอร์ดเลเซอร์+แมจิกเมาส์"

คุณสามารถเชื่อมต่อการทำงานระหว่างไอโฟน (iPhone) กับคีย์บอร์ดเลเซอร์ และแมจิกเมาส์ (magic mouse) ผ่านบลูทูธได้พร้อมกัน ภายใต้โปรเจ็กต์การพัฒนาไดรเวอร์อัจฉริยะที่สามารถทำให้ไอโฟนสามารถใช้งานกับอุปกรณ์บลูทูธหลายตัวได้พร้อมกันทีมีชื่อว่า BTstack ว่าแต่แลัวมันจะช่วยให้สะดวกขึ้นแค่ไหนกันล่ะ อันนี้คงต้องพิสูจน์กันซะแล้ทีมงานภายใต้โครงการที่มีชื่อว่า BTstack ซึ่งกำลังพัฒนาไดรเวอร์สำหรับการเชื่อมต่อไร้สายบลูทูธกับอุปกรณ์ต่างๆ ให้กับอุปกรณ์ที่ไม่สนับสนุนการทำงานในลักษณะนี้ ได้สาธิตการทำงานของมันด้วยการเชื่อมต่อการทำงานของไอโฟนกับคีย์บอร์ดแสงเลเซอร์ และแมจิกเมาส์ โดยผู้ใช้สามารถควบคุมการทำงานบนหน้าจอไอโฟนด้วยพอยเตอร์ของเมาส์ได้อย่างง่ายดาย ในขณะเดียวกันก็สามารถใช้นิ้วจิ้มบนคีย์บอร์ดแสง เพื่อพิมพ์ข้อความบนไอโฟนได้อีกด้วย ซึ่งจากคลิปสาธิตจะเห็นได้ว่า มันสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างลื่นไหลไร้ปัญหา แม้จะยังไม่มีการแจกจ่ายโค้ดของไดรเวอร์ออกมา แต่เชื่อว่า มันคงอีกไม่นานนักที่ผู้ใช้ไอโฟนจะได้มีโอกาสใช้กัน ตอนนี้ก็ชมคลิปสาธิตการทำงานไปพลางๆ ก่อนก็แล้วกัน ว

Review Vigor 2910 (เทพแห่ง Broadband Router)

มหากาพย์ฉบับสมบูรณ์
พลิกแพลงรูปแบบได้ ไร้ขีดจำกัด





หนึ่งในพิชัยสงครามซุนวูกล่าวไว้ว่า กองทัพเยี่ยมยุทธ์ คือกองทัพที่ไร้รูปแบบในการศึก สามารถพลิกแพลงได้ตามสถานการณ์อย่างยอดเยี่ยม (กองทัพเทพ) Vigor 2910 ถูกออกแบบมาเพื่อให้ ติดตั้ง/แก้ไขปัญหา ได้กับระบบเครือข่ายทุกรูปแบบ โดยมี Function Load Balance / Firewall / Bandwidth Management / Session Limit ในตัวของมันเอง สามารถรองรับเครื่องลูกข่ายได้ 80-100 เครื่อง อีกทั้งยังสามารถเป็น Windows VPN Server ซึ่งรองรับการเชื่อมโยงเครือข่าย Lan-site-to-site ได้สูงถึง 32 สาขา
ในช่วงแรกที่ทางโรงงานถ่ายทอดวิชาการติดตั้ง Router ให้กับผมนั้น ทางโรงงานเน้นย้ำว่า คุณต้องเข้าใจและเรียนรู้ คุณสมบัติต่าง ๆ ของ Vigor 2910 ให้มากที่สุด เพราะหากคุณเข้าใจในแก่นแท้ของ Vigor 2910 เมื่อไหร่ คุณก็จะสามารถใช้ และติดตั้ง DrayTek ได้ทุกรุ่น ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง มาดูคุณสมบัติพื้นฐานโดยทั่วไปก่อน แล้วค่อยดูแบบละเอียดทีละหัวข้อ ในการ Review Vigor 2910 นั้น จะเป็นการ Review ฟังก์ชั่นการทำงานที่กินความยาวหน้ากระดาษมากที่สุด และจะเป็นการ Review อุปกรณ์แบบละเอียดตัวสุดท้าย เนื่องจาก Vigor รุ่นอื่นๆ ก็จะมีฟังก์ชั่นการทำงานที่ไม่ต่างกันมาก รับรองว่าคุณจะต้องทึ่งกับความสามารถของ Vigor 2910 อย่างแน่นอน

1. 2 WAN Port (Load Balance) (กำหนดขาออกได้ทั้งแบบ Port และ IP)
2. รองรับ Nat Session = 10,000 Session / Session ไหนใช้งานแล้วจะถูกเคลียร์ทิ้งทันที
3. รองรับ Static Router = 10 เส้นทาง (พลิกแพลงการเชื่อมโยงแบบไร้ขีดจำกัด)
4. รองรับ VLAN = 3-4 VLAN
5. ผูก Mac Address กับ IP Address เข้าด้วยกันเพื่อกำหนดสิทธิ์การใช้งาน
6. Nat Session = 10 Ports โดยสามารถกำหนด Port ได้ทั้งขานอก และขาใน
7. Firewall ที่สามารถใช้งานได้จริงในทุกสถานการณ์
8. Block IM = MSN, Yahoo, ICQ
9. Block P2P ได้กว่า 90% (และใช้งานได้ฟรีไม่ต้องเสียค่า License ในการ Block)
10. สามารถ Block Java, ActiveX, Compress Files, Execute Files ฯลฯ (URL Content Filter)
11. สามารถ Limit การใช้งาน Session ต่อ IP ได้
12. สามารถทำ Bandwidth Management ต่อ IP ได้จริง เช่น IP xxx.xxx = 256/128 Kbps. เป็นต้น
13. ทำ QOS ได้เนียนกว่ารุ่น Vigor2700 และมี Graph การใช้งานแบบ Realtime
14. รองรับ 3 Dynamic DNS และกำหนด DDNS ขา WAN แต่ละขาได้
15. รองรับ VPN 3 แบบ (PPTP, IPSec และ L2TP)
16. รองรับ VPN Lan-to-LAN 32 Tunnels
17.VPN Backup เส้นหลักล่ม/หลุด เส้นสำรองเชื่อมต่ออัตโนมัติภายใน 5 วินาที
18. รองรับการจัดเก็บ Log
19. มีระบบการวิเคราะห์ MRTG, Data Flow Monitor (IP ไหนใช้งานหนัก Block ได้ 5 นาที)
20. Support โปรแกรม Smart Monitor ในระยะเวลาอันใกล้นี้

Two WAN Load Balance Router (Body ภายนอก)




อุปกรณ์ที่มีมาให้
1. Adapter AC 1 อัน
2. Vigor 2910 1 ตัว
3. คู่มือ Quick Guide 1 เล่ม
4. CD คู่มือใช้งานและโปรแกรมต่างๆ ที่ใช้งานควบคู่กับ Router 1 แผ่น
5. น็อตยึดกำแพง 1 ชุด
6. สาย LAN 1 เส้น (2 เมตร)



รูปร่างหน้าตาจะเป็นแบบนี้ Style ดั้งเดิมแบบ DrayTek จากการทดสอบใช้งาน ในระยะเวลานานๆ ไม่พบปัญหาความร้อนที่ตัวอุปกรณ์เลย แม้เปิดในอุณหภูมิปกติในเมืองไทย





ด้านหลังเครื่องมี 4 LAN Port Switch และ 2 WAN Port หากใช้งาน WAN 2 จะเหลือช่องสำหรับเชื่อมต่อ LAN เพียง 3 ช่อง และมีปุ่ม Reset ซึ่งหากกดค้างไว้ 5 วินาที ก็จะตั้งเป็นค่าเริ่มต้นสำหรับโรงาน ..... Vigor 2910 เป็นรุ่นเดียวที่สามารถ Format Router ได้ในกรณีที่อุปกรณ์เสียหาย สามารถทำได้โดยกดปุ่ม Reset ค้างไว้ แล้วเปิด Switch (ให้กดปุ่ม Reset ค้างไว้ 5 วินาทีจนกว่าไฟ ACT และ DMZ จะกระพริบพร้อมกัน 2 ดวง จากนั้นให้เปิด Router Tools ขึ้นมา และยิง Firmware เข้าที่ตัวอุปกรณ์) เป็นการซ่อมแซม Router ในกรณี Firmware เสียหายมาก



ไฟแสดงสถานการณ์ทำงาน บอกให้รู้ว่ามีการใช้งาน VPN, QOS หรือ Firewall หรือไม่










รองรับ 3G USB Modem ซึ่งในไม่ช้าไม่นานนี้ ท่านคงได้ใช้แน่นอน เป็นเทคโนโลยีที่จะทำให้การเชื่อมต่ออินเตอร์ไม่ถูกจำกัดอยู่ที่สายสัญญาณอีกต่อไป (น่าน้อยใจแทนคนไทยเสียนี่กระไร แม้แต่ประเทศลาว ตอนนี้เค้าก็มี 3G ใช้กันแล้ว)
USB Print Server ซึ่งแนะนำให้ใช้กับเครื่องพิมพ์ที่เป็นแบบ Laser เท่านั้น เนื่องจาก USB ที่มีมากับ DrayTek ไม่รองรับ Printer ที่เป็น Mode Bidirectional ซึ่งโดยมาก Print ที่มีใช้ Mode Bidirectional จะเป็นเครื่องพิมพ์ในตระกูล InkJet